วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558

มารู้จักกับ กรองอากาศ กรองน้ำมัน รถยนต์กันเถอะครับ

มารู้จักกับ กรองอากาศ กรองน้ำมัน รถยนต์กันเถอะครับ (01)

(หนังสือยานยนต์)




          เชื่อว่ายังมีเจ้าของอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ค่อยจะได้สนใจหรือใส่ใจกับเจ้าตัวกรองอากาศมากเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่ตัวกรองอากาศนั้นจะมีผลต่อประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ และมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

          เครื่องยนต์ที่ใช้งานกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเบนชินหรือดีเซลก็ตาม การเผาไหม้จำเป็นต้องอาศัยออกซิเจนเข้าไปผสมกับเชื้อเพลิง จึงจะสามารถจุดระเบิดได้ สำหรับออกซิเจนที่ได้นี้ก็มาจากอากาศทั่วไปนี่แหละซึ่งได้มาฟรีไม่ต้องซื้อหากัน แต่อากาศที่มีอยู่โดยเฉพาะตามท้องถนน จะมีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อป้องกันฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกถูกดูดเข้าไปในเครื่องยนต์ จึงจำเป็นต้องมีหม้อกรองอากาศมาคอยดักเอาไว้ก่อน


หน้าที่และความสำคัญของไส้กรองอากาศ
          ตัวกรองอากาศมีหน้าที่และความสำคัญมากยิ่งนัก ชนิดที่หากไม่มีแล้วสามารถทำให้เครื่องยนต์อายุสั้นอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

         สำหรับรถยนต์หม้อกรองอากาศแม้จะดูธรรมดา แต่ความจริงเป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่จำเป็นต้องติดตั้งหม้อกรองอากาศเอาไว้ก่อนท่อร่วมไอดี หรือก่อนคาร์บูเรเตอร์ในรถรุ่นเก่า เพื่อให้ทำหน้าที่ดักกรองเอาฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกที่ปะปนอยู่ในอากาศไว้ ทำให้อากาศที่เข้าไปในเครื่องยนต์หรือผ่านคาร์บูเรเตอร์ ปราศจากฝุ่นละอองและสิ่งสกปรก

      ถ้าหากไม่มีเจ้าตัวกรองอากาศซะแล้ว ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกก็สามารถปะปนเข้าไปในเครื่องยนต์ได้คราวนี้ก็เกิดผลอยู่หลายประการ

ทำให้เครื่องยนต์มีอายุสั้น

          พวกฝุ่นละอองที่ลอยปะปนอยู่ในอากาศ ส่วนหนึ่งจะเป็นฝุ่นผงหรือเม็ดทรายละเอียดที่มีความแข็ง เมื่อหลุดเข้าไปในห้องเผาไหม้ ก็จะไปเกาะอยู่ตามร่องแหวนและผนังกระบอกสูบ ส่วนที่เป็นผงสกปรกอย่างพวกคราบเขม่าหรือคาร์บอน ก็จะทำให้น้ำมันเครื่องดำและสกปรกเร็วขึ้น น้ำมันเครื่องจะเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าปกติ ทำให้ขึ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ที่มีน้ำมันหล่อลื่นเกิดการสึกหรอมากขึ้น โดยเฉพาะฝุ่นละอองที่เกาะอยู่ตามแหวนลูกสูบและผนังกระบอกสูบ ก็เปรียบเสมือนผงทรายที่จะขัดถูทำให้แหวนและกระบอกสูบสึกหรอเร็วขึ้น อย่างปกติรถสามารถใช้งานได้หลายแสนกิโลเมตรกว่าเครื่องจะหลวม แต่ถ้าไม่ใส่ไส้กรองอากาศวิ่ง ประมาณห้าหมื่นกิโลเครื่องก็เริ่มหลวมต้องยกเครื่องกันแล้ว




การทำงานของเครื่องยนต์มีปัญหา
          

          พวกรถรุ่นเก่าที่ใช้คาร์บูเรเตอร์เป็นตัวจ่ายเชื้อเพลิง หากไม่มีไส้กรองอากาศ หรือใช้ไส้กรองอากาศที่ไม่มีคุณภาพพอ ทำให้ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกเข้าไปในตัวคาร์บูเรเตอร์ ก็จะเกิดการอุดตันของท่อทางเดินอากาศในคาร์บูเรเตอร์ มีผลกับการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สมบูรณ์ ก็เกิดปัญหากับการทำงานของเครื่องยนต์ เช่น เบาดับ เร่งไม่ขึ้น หรือมีอาการกระตุก

          ส่วนรถรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบหัวฉีด พวกสิ่งสกปรกที่ผ่านเข้าไปกับอากาศเข้าเครื่องยนต์ จะไปเกาะกับตัววัดปริมาณอากาศทำให้เกิดสกปรกการให้ข้อมูลจึงผิดพลาด การสั่งจ่ายน้ำมันก็ไม่ถูกต้องกับความเป็นจริงประสิทธิภาพเครื่องยนต์ก็มีปัญหาแถมอัตราสิ้นเปลืองก็จะเพิ่มขึ้นด้วย หรือไปเกาะที่เซ็นเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อ ทำให้สกปรก การทำงานของลิ้นปีก จึงไม่ถูกต้องเหมาะสม มีปัญหากับการทำงานของเครื่องยนต์ และที่เกิดผลมากที่สุดคือสิ่งสกปรกที่ติดมากับอากาศ จะเข้าไปเกาะอยู่ที่ตัว ISC ควบคุมรอบเดินเบา การทำงานจึงติดขัดมีปัญหากับรอบเดินเบา หรือเกิดการกัดกร่อนตัว ISC ทำให้ชำรุดเสียหาย

          หน้าที่ของไส้กรองอากาศอีกประการ คือลดเสียงการดูดอากาศของเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์มีการทำงานที่เงียบขึ้นไม่รบกวนผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

          ควบดูแลรักษากันบ้างไส้กรองอากาศก็ต้องดูมีการดูแลรักษากันบ้าง มิฉะนั้นก็จะเกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้มากเลย

          ตามปกติเครื่องยนต์ที่ใช้กับรถต้องการอากาศเพื่อใช้ในการเผาไหม้ ภายในกระบอกสูบเป็นจำนวนไม่น้อยเลย โดยทั่วไปก็ประมาณนาทีละ 100 ถึง 290 ลบ.ฟุต ดังนั้นไส้กรองอากาศ จึงถือว่ามีความจำเป็น ในการสกัดกั้นฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่ปะปนมากับอากาศเอาไว้ ไม่ให้ผ่านเข้าไปในเครื่องยนต์ ดังนั้นเมื่อใช้ไปนานเข้าที่ไส้กรองอากาศจะมีฝุ่นละอองสิ่งสกปรกอัดติดอยู่อย่างมากมาย ทำให้เกิดการอุดตันจนกระทั่งอากาศไม่สามารถผ่านเข้าไปได้สะดวกและมีปริมาณน้อยเท่าที่ควร จึงจำเป็นต้องนำไส้กรองอากาศมาทำความสะอาด หรือเปลี่ยนไส้กรองอากาศอันใหม่ เพื่อให้อากาศสามารถผ่านเข้าไปในห้องเผาไหม้ได้สะดวกกรวดเร็วและมีปริมาณมาก ซึ่งจะมีผลต่อประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงด้วย หากเราปล่อยให้ไส้กรองสกปรกประกอบไปด้วยฝุ่นละอองสิ่งสกปรกติดอยู่ที่กระดาษกรอง สิ่งสกปรกจะถูกดูและดันเข้าไปตามรูขงกระดาษกรองเรื่อย ๆ จนกระทั่งอาจทะลุไปอีกด้านหนึ่งของกระดาษกรอง แล้วหลุดเข้าไปก่อความเสียหายให้กับขึ้นส่วนของเครื่องยนต์

          ปกติเราควรทำความสะอาดไส้กรองอากาศประมาณ 2,000-5,000 กม.ต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานที่ใช้งานว่าอากาศมีฝุ่นละอองหรือสกปรกมากน้อยขนาดไหน และการใช้งานเป็นอย่างไร หากใช้งานในเมือง 2,000-3,000 กม. ก็สมควรถอดออกมาทำความสะอาดแล้ว แต่ถ้าเป็นการเดินทางในเส้นทางที่ไม่มีฝุ่นมากมายนัก ระยะทางอาจยืดเป็น 5,000 กม. ค่อยทำความสะอาดก็ได้ อย่างไรก็ตามให้ดูจากคู่มือประจำรถเป็นหลัก ซึ่งจะบ่งบอกว่าควรทำความสะอาดเมื่อไหร่ และควรเปลี่ยนไส้กรองอากาศอันใหม่เมื่อใด


ขอบคุณข้อมูลจาก http://goo.gl/XijPwc
          

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น