วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557

วิธีดูแลรักษารถยนต์หลังเทศกาลสงกรานต์

วันนี้ผู้คนส่วนใหญ่คงกลับเข้าสู่การทำงานปกติ หลังจากได้หยุดพักผ่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์กันหลายวัน


ภารกิจสงกรานต์ของคนเสร็จสิ้นแล้ว แต่กับรถยังไม่จบ โดยเฉพาะท่านที่นำรถเข้าร่วมอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไกล หรือว่าการร่วมในการละเล่น ซึ่งมีทั้งน้ำ และความร้อนผสมกันไป ในกรณีที่รถติด ขับเคลื่อนได้ช้า ดังนั้น ช่วงนี้จึงควรจะต้องดูแลเอาใจใส่รถมากขึ้นสักหน่อย เพื่อให้สามารถใช้งานได้อีกหลายเทศกาล 

ขั้นแรก ควรจะล้างทำความสะอาดตัวถัง จากการเปรอะเปื้อนของทั้งน้ำ แป้ง หรือแม้แต่สี ซึ่งหลังๆ มีผู้นิยมนำมาใช้เล่นกัน หลังจากที่ประเพณีไทยผิดเพี้ยนไปมาก และหากเป็นไปได้ ควรหาเวลาล้างรถด้วยตนเอง ยอมเหนื่อยสักหน่อย แต่จะได้เห็นร่องรอยเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะไม่แน่ว่าช่วงของการเดินทาง อาจมีเม็ดกรวดเม็ดทราย กระเด็นมาโดนรถจนสีกะเทาะ ขับรถเข้าชุมชน หรือเจอด่านสาดน้ำ อาจจะโดนขอบขัน ปืนฉีดน้ำ หัวเข็มขัด ขูดเอาได้เช่นกัน ซึ่งร่องรอยเล็กๆ เหล่านี้ อาจจะนำมาซึ่งการผุกร่อนของตัวถังได้  และหากพบว่ามีร่องรอย ก็ควรเอาสีมาแต้ม หรือถ้าไม่มีจริงๆ จะใช้น้ำยาเคลือบเล็บของเหล่าแม่บ้านมาใช้แก้ขัดก็ได้เช่นกัน
บางคนเสร็จสิ้นสงกรานต์ รถเลอะเทอะไปด้วยแป้ง แต่ยังไม่มีเวลาล้าง ปล่อยทิ้งไว้นานสองนาน ทำให้แป้ง และคราบความชื้นต่างๆ ซึมเข้าไปในเนื้อสี จนทำให้สีเป็นด่างดวงได้ และจะทำมีผลระยะยาวต่ออายุของสีรถอีกด้วย ดังนั้น อย่างน้อยถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ฉีดน้ำล้างให้ทั่วก่อนก็ยังดี แล้วค่อยไปเก็บรายละเอียดภายหลัง  และส่วนใหญ่รถที่เจ้าของเอาจริงเอาจังกับการเล่นสงกรานต์ สิ่งที่ตามมาคือความชื้นในรถ ไม่จำเป็นจะต้องถูกฉีดน้ำเข้าไปในตัวรถ แต่ว่าความเปียกชื้นของตัวคนขับหรือผู้โดยสารเอง ก็มีส่วนไม่น้อย

ดังนั้น จึงจะต้องหาเวลานำรถไปจอดกลางแดดแรงๆ เปิดหน้าต่าง หรือประตู ตามแต่ความเหมาะสม เพื่อให้ความร้อน ไล่ความชื้นออกไปให้หมด และรื้อพรมปูพื้นออกเพื่อนำไปผึ่งแดดให้แห้ง ซึ่งในเวลาเดียวกัน ก็จะสามารถเห็นร่องรอยเปียกชื้นที่ซ่อนอยู่ใต้พรม รวมไปถึงเศษกรวดทรายต่างๆ ซึ่งต้องนำออกให้หมดเช่นกัน เพราะมันอาจจะเป็นตัวนำพาความชื้นมาทำให้ตัวถังรถเสียหายได้

ส่วนใครที่รถใช้งานหนัก เช่น ขับทางไกล หรือขับขึ้นลงเขาในช่วงเทศกาล ซึ่งมีรถเยอะ ทำให้ต้องใช้ เบรก คันเร่ง และคลัตช์ สำหรับรถเกียร์ธรรมดามากเป็นพิเศษ ให้นั่งนึกว่าในเวลานั้นๆ มีสิ่งผิดปกติอะไรหรือไม่ เช่น เกจ์ความร้อนขึ้นผิดปกติ หรือว่ามีกลิ่น โดยเฉพาะกลิ่นเหม็นไหม้ ก็ควรจะนำรถไปให้ช่างจัดการตรวจสอบ อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจจะทำให้ความเสียหายเพิ่มขึ้น และที่สำคัญ ก็คือ มีผลต่อความปลอดภัยในการใช้งานอีกด้วย


กลิ่นเหม็นไหม้มีหลายสาเหตุ บางคันอาจจะเบรกไหม้ คลัตช์ไหม้ หากไม่รู้วิธีการขับขี่บนเส้นทางลาดชันที่ถูกต้อง แต่บางคนที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ และขับด้วยวิธีที่ถูกต้อง เช่น ลงเขา ก็ไม่ได้ใช้เบรกตลอด แต่ใช้เกียร์เพื่อให้เกิดเอนจิ้นเบรก แต่มีกลิ่นเหม็นไหม้เช่นกัน ก็แสดงว่าเกียร์ทำงานหนัก และทำให้น้ำมันเกียร์ร้อนมากเป็นพิเศษ หมายถึง ประสิทธิภาพลดลง หากปล่อยไว้ก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน ยอมควักกระเป๋าจัดการเปลี่ยนถ่ายเสียใหม่ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดี และยืดอายุของเกียร์ให้ยาวออกไป พร้อมสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว สำหรับเทศกาลต่อๆ ไป
 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/auto-mobile/clinic/20120417/447074/news.html



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น